What can we help you with?

วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม

วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม

วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม

เรื่องของภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นอะไรที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเรื่องของน้ำท่วมที่หลายจังหวัดในภาคใต้เพิ่งเจอ ทำให้รถหลายๆ คันถูกน้ำท่วมกันเยอะ เราเลยขอนำ วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม แบบเบื้องต้นมาฝากค่ะ

  • สำคัญที่สุดอย่าสตาร์ทรถเด็ดขาด จากนั้นให้ปลดขั้วแบตเตอรี่ออกทันที โดยจะปลดแค่ขั้วบวก ขั้วลบ หรือทั้ง 2 ขั้วก็ได้ค่ะ เพื่อเป็นการป้องกันกระแสไฟฟ้าเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆ ภายในตัวรถ และเครื่องยนต์
  • ตรวจดูเครื่องยนต์ว่าไม่มีเศษอะไรติดอยู่ที่ตัวเครื่อง แล้วอาจใช้ไดร์เป่าผม เป่าไล่ความชื้น หรือสเปรย์ไล่ความชื้นฉีดให้ทั่ว รวมถึงบริเวณใต้ท้องรถ ตามล้อ ใช้น้ำฉีดล้างเอาเศษดิน เศษหญ้าแห้ง ที่ติดค้างอยู่ออกให้หมด
  • ฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศให้ฆ่าเชื้อออกให้หมด เพื่อคุณภาพของอากาศที่จะหมุนเวียนในรถตอนเปิดแอร์
  • เปิดประตูรถทั้งหมด เพื่อให้ลมโกรก ไล่ความอับชื้น หรือเอาไปจอดตากแดดไว้ แล้วก็ถอดเบาะทั้งหมด พรมปูพื้น เอามาซักทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพราะถ้าทิ้งเอาไว้นานจะเหม็นอับ ตามมาด้วยเชื้อรา
  • น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง ดูว่ามีสีชาหรือเปล่า ถ้าใช่ แสดงว่า มีน้ำเข้าไปปนอยู่ด้วย ก็ต้องรีบเปลี่ยนถ่ายทิ้ง ไม่เช่นนั้นสนิมจะขึ้นได้ ถ้าหากเปลี่ยนไม่เป็น อย่าทำเอง ให้ส่งเข้าอู่เพื่อให้ช่างที่เชี่ยวชาญทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องดีกว่านะคะ
  • แผงหน้าปัดรถควรจะตากแดดแรงๆ หน่อย เพื่อไล่ความชื้นที่เกาะอยู่ให้หายหมดไป
  • ลูกปืนล้อทั้งหน้าและหลัง ควรนำออกมาล้างอัดจารบีใหม่ ตอนใส่กลับคืนก็ต้องใส่ให้แน่นแบบพอดี ไม่แน่นจนล้อหมุนฝืด
  • แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าตรวจเช็ครถทั่วถึง ก็เอารถเข้าอู่ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดอีกทีดีกว่า
  • เมื่อทุกอย่างแห้งสนิทก็ทยอยใส่ทุกอย่างที่ถอดออกมาจากห้องเครื่องเข้าที่เดิมให้เรียบร้อย ยกเว้นหัวเทียน ในกรณีของรถเครื่องยนต์เบนซินหรือหัวฉีด แต่ถ้าเป็นเครื่องดีเซล ให้ใส่แบตเตอรี่ก่อนใส่ขั้วแบตเตอรี่ แล้วค่อยสตาร์ทเครื่อง ซึ่งในจังหวะแรก ถ้าเกจ์วัดยังไม่ทำงานไม่ต้องตกใจค่ะ ให้เปิดสวิตช์ค้างไว้แล้วมาดูที่ห้องเครื่อง ว่ามีควันหรือความร้อนเกิดขึ้นจากการใช้ไฟจากแบตเตอรี่หรือไม่ ถ้าไม่มีและทุกอย่างปกติ จึงค่อยบิดกุญแจเปิดสวิตช์

อย่างไรก็ตามรถที่โดนน้ำท่วมควรต้องส่งเข้าศูนย์ซ่อม เพื่อให้ช่างเช็คสภาพให้จะดีที่สุด หรือไม่ก็ทำประกันภัยชั้น 1 เอาไว้ดีกว่าค่ะ เพราะให้ความคุ้มครองในส่วนนี้